Friday, May 8, 2015

คุณภาพคน คุณภาพประเทศ

ดูตัวอย่างความพยายามสร้างประเทศผ่านการสร้างเยาวชนที่มีคุณภาพ จากโครงการ No Kid Hungry จัดสรรอาหารเช้าที่มีความสำคัญต่อสุขภาพเยาวชนในประเทศสหรัฐอเมริกา 

ดาราภาพยนต์ฮอลิวู้ด เจฟฟ์ บริดเจส และบิลลี่ ชอร์ ช่วยกันทำโครงการอาหารเช้าให้เด็กอเมริกัน



เจฟฟ์ บริดเจส กับ บิลลี่ ชอร์
ชาติที่มั่งคั่งที่สุดในโลก 
กระนั้นยังไม่สามารถป้อนอาหารให้เพียงพอ
ที่จะหยุดความหิวโหย
โดย เควิน คุก

สามสิบก่อน บิลลี่ ชอร์นั่งบีบแตรอยู่ในรถท่ามกลางสภาพการจราจรที่คับคั่งของกรุงวอชิงตัน ดีซี  เขาเป็นนักการเมืองหนุ่มไฟแรง และเร่งทำงานเพื่อช่วยผู้คนและหวังจะทำให้โลกนี้ดีขึ้น เขามุ่งมั่นที่จะช่วยเจ้านายของเขาซึ่งขณะนั้นเป็นวุฒิสมาชิกที่มีอุดมการณ์สูงส่งจากรัฐโคโลราโดชื่อ แกรี่ ฮาร์ท เพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยที่กำลังจะมาถึง แต่ความหวังนี้พังทลาย หายวับไปทันทีที่มีข่าวแพร่ออกมาถึงพฤติกรรมทางเพศของแกรี่ ถึงกระนั้นก็ตามสภาพการจราจรในวันนั้นก็ส่งผลให้เกิดอะไรดี ๆ บางอย่างให้เกิดขึ้นกับโลกใบนี้
ตอนที่ติดอยู่บนถนน ชอร์เหลือบเห็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความอดอยากในแอฟริกาที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้วงดนตรีป๊อปชื่อดัง "แบนด์เอด" บันทึกเพลง "Do they Know It's Christmas? (พวกเขารู้ไหมว่าวันคริสต์มาถึงแล้ว)" แล้วสามารถหาทุนจากเพลงนี้ได้ถึง ๒๔ ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อนำเงินไปใช้บรรเทาความหิวโหยของคนในแอฟริกา และนักดนตรียังไม่หยุดแค่นั้น เขายังตรึงความสนใจของชาวโลกไว้กับพวกเขา ชอร์ได้อ่านบทความนั้นจนจบ เขารู้แล้วว่าแตรที่บีบต่อไปนั้นไม่ใช่บนนถนนที่มีการจราจรคับคั่งนี้ แต่เขาจะกดแตรเพื่อขับไล่ความยากจน
ชอร์กับน้องสาว เดบบี้ร่วมกันก่อตั้งองค์กรการกุศลที่ชื่อว่า "ร่วมพลังกับเรา (Share Our Strength)" ในปี พ.ศ.๒๕๒๗ ด้วยเงินที่กดจากบัตรเครดิตของชอร์ แล้วก็เริ่มสุ่มโทรศัพท์ขอเงินบริจาคจากบรรดาวุฒิสมาชิก ซีอีโอบริษัทใหญ่ ๆ  และพวกดาราที่อยู่ในแคปปิตอลฮิล มีนักเขียนคนหนึ่งร่วมลงขัน เขาคือสตีเว่น คิง  พี่ ๆ น้อง ๆ ของเขาก็ช่วยกันหาทุนเพื่อเป็นทุนในการตั้งธนาคารอาหารหรือมอบให้องค์กรการกุศลอื่น ๆ ทั่วโลก  แต่ไม่นานนักพวกเขาก็รู้สึกว่าการทำงานไม่ได้คืบหน้านัก  "วิธีการของเราชัดเจน ง่าย แต่มันเป็นวิธีที่ผิด" ชอร์เล่าความทรงจำของเขา
ปัญหาคือ ความหิวโหยนั้นเป็นอาการหนึ่งที่แสดงออกมาจากปัญหาที่ใหญ่กว่า นั่นคือความยากจน  การยื่นอาหารให้คนหิวนั้นก็เหมือนกับการเอาพลาสเตอร์ปิดแผลที่ไม่ได้รักษาบาดแผล (ด้วยพลาสเตอร์) ด้วยเหตุนี้เขากับน้องสาวจึงเปลี่ยนวิธีการใหม่  ด้วยความเชื่อว่านักสู้ที่ฉลาดต้องเลือกสังเวียนที่เขาเป็นต่อ  ชอร์ในฐานะซีอีโอขององค์กรการกุศลแห่งนี้เลือกเพ่งไปที่ปัญหาความหิวโหยของเด็กในอเมริกา
จากนั้นมาโครงการ "ร่วมพลังกับเรา" ได้หาทุนมากถึง ๔๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ และนำไปใช้ในโครงการจัดหาอาหารและต่อสู่กับความยากจนในสหรัฐอเมริกา  ยูเอสนิวส์แอนด์เวิร์ลด์รีพอร์ทเสนอชื่อชอร์เป็นหนึ่งในผู้นำที่ดีที่สุดในอเมริกา ตามด้วยรายได้ของกลุ่มเพิ่มขึ้นจาก ๑๓ ล้านเหรียญในปี ๒๕๕๐ เป็น ๔๐ ล้านเหรียญ ในปี ๒๕๕๖ ชอร์เปรียบพันธกิจของเขาเหมือนเกมฟุตบอล ค่อย ๆ ชนะไปทีละสนาม จนในที่สุดบรรลุเป้าหมายแชมป์  
ของเล่นชิ้นใหญ่ที่สุดที่เขาได้มาคือการได้นักแสดงระดับรางวัลออสก้า เจฟฟ์ บริดเจสมาเป็นกองหลังของทีม โนคิดฮังกรี (ต้องไม่มีเด็กอดอยาก)  โครงการที่ช่วยป้อนอาหารให้กับนับล้านคนในโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วสหรัฐ  บุคคลิกที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของบริดเจสเป็นโอสถอย่างดีที่ช่วยบำบัดความหิวและเติมความรักให้กับเด็กนักเรียนประถมทั้งหลายในโครงการ แต่ก็ไม่วายจะมีเสียงส่อเสียด มีคนบางกลุ่มวิจารณ์ว่าเขาเป็นคนไม่รักชาติ ที่ออกมาเรียกร้องความสนใจจากสังคมถึงเรื่องความไม่เท่าเทียมกันในสังคม แต่บริดเจสโต้ตอบว่า "นั่นเป็นความคิดที่ผิด"  เขายืนยันว่า สิ่งที่เขาทำนั้นคือ "ความรักชาติอย่างยิ่ง เพราะการปล่อยให้เด็กอเมริกันหนึ่งในห้าคนต้องต่อสู้กับความหิวโหยนั้น คือความไม่รักชาติ" บริดเจสกับชอร์ร่วมกันเล่าแบ่งปันประสบการณ์ทำงานในโครงการ "โนคิดฮังกรี" ให้กับเควิน คุ๊ก นักเขียนประจำของนิตยสารเดอะโรแทเรียน

เดอะโรแทเรียน : คุณสองคนเข้ามาอยู่ทีมเดียวกันได้อย่างไร
บริดเจส : บิลลี่กับผมพบกันเมื่อห้าปีที่แล้ว ตอนนั้นผมทำงานให้กับแนวร่วมต่อต้านความหิวโหย  เราอยู่ที่เมืองโกเลตต้า รัฐแคลิฟอร์เนีย ใกล้ ๆ กับบ้านเกิดผมที่ซานตา บาบาร่า ที่ค่ายฤดูร้อน (ที่นี่เด็ก ๆ สามารถรับแจกอาหารกลางวันได้ ตอนที่โรงเรียนปิดเทอม)  เราเริ่มจากการพูดคุยกันถึงโครงการที่เกี่ยวข้องกับเด็กหิวโหย จนถึงเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ และสรุปร่วมกันว่าปัญหาความหิวโหยในเด็กนั้นเป็นปัญหาที่แก้ไขได้  องค์กร "โนคิดฮังกรี" ที่บิลลี่กำลังก่อตั้งขึ้นเพื่อหยุดปัญหาความหิวโหยในเด็กในประเทศอเมริกา จุดนี้เราเห็นว่าเป็นโอกาสที่เราจะทำงานด้วยกันได้ 
เดอะโรแทเรียน : ปัญหาต่าง ๆ ในโลกมีมากมายที่น่าแก้ไข ทำไมคุณเลือกปัญหานี้
ชอร์ : ตอนที่ผมกับเดบบี้เร่ิมทำโครงการ "ร่วมพลังกับเรา" และเริ่มหาทุนเข้ามาในราวกลางทศวรรษ ๑๙๘๐ เรานำเงินไปลงทุนในองค์การไม่แสวงหากำไรเพื่อต่อสู้กับความหิวโหย  ไม่นานนักเราได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจอย่างยิ่ง กล่าวคือ แม้เราตั้งใจที่จะทำให้เกิดความแตกต่าง แต่เราก็สามารถทำให้ได้มากกว่านั้น และเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มั่นคง ด้วยการจัดทำแผนกลยุทธที่ถูกต้อง เราเชื่อว่าปัญหาเด็กหิวโหยจะหมดไปจากอเมริกา เรามีอาหารเพียงพอในประเทศนี้ ที่ต้องทำคือเชื่อมโยงเด็กที่ขาดอาหารไปสู่แหล่งอาหาร นี่คือเหตุผลที่โครงการ "โนคิดฮังกรี" เกิดขึ้น
บริดเจส :  ผมสนับสนุนงานเพื่อเด็กมามากกว่า ๓๐ ปีแล้ว  ในปี พ.ศ.๒๕๒๗ ผมเจอหน่วยงานที่ชื่อว่า เครือข่ายหยุดความหิวโหย เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่จัดหาอาหารให้เด็กทั่วโลก เราช่วยทำรายการทีวีชื่อ "เอนด์ฮังเกอร์เทเลเวนท์" (ทีวีข่าวเพื่อหยุดความหิวโหย) ถ่ายทอดสด ๆ โดยเน้นที่ปัญหาความอดอยากทั่วโลก  มีดาราดังมาร่วมรายการด้วย อาทิ เกรกอรี เปก  แจ็ค เลมมอน  เบิร์ต แลนคาสเตอร์  บ๊อบ นิวฮาร์ท  เคนนี่ ลอกกินส์ และดาราอีกหลายคน  นอกจากนี้ผมยังทำภาพยนต์เกี่ยวกับความอดอยากที่ชื่อ "ฮิดเด้นอินอเมริกา" (มันซ่อนอยู่ในอเมริกา)  มีดารานำคือ โบ เป็นพี่ชายผมเอง  จากนั้นประมาณปี ๒๕๕๑ ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจเริ่มไม่ค่อยดี ผมก็เลยต้องถอยกลับมาสนใจเรื่องปากท้องของคนแถวบ้านก่อนแทน ตอนนั้นผมหยั่งไปไม่ถึงเด็กนับล้านในประเทศมั่งคั่งนี้ ประเทศที่กินเท่าไหร่ก็ไม่พอ.
เดอะโรแทเรียน : เวลาคนอเมริกันคิดถึงความอดอยาก พวกเราคิดถึงคนหิวโหยในประเทศกำลังพัฒนา แล้วหน้าตาของเด็กหิวโหยในอเมริกาเป็นอย่างไร
ชอร์ :  ก็หน้าตาอย่างคนปกตินี่แหละ เขาอาจเป็นเด็กชายนั่งในห้องเรียนใกล้ ๆ ลูกชายของคุณ  หรือเด็กหญิงที่อยู่ในทีมฟุตบอลเดียวกับลูกสาวคุณ  พวกเขาอาจนั่งอยู่บนม้านั่งสองสามแถวห่างจากคุณในโบสถ์  เมื่อก่อนนี้กลุ่มคนยากจนรวมตัวกันอยู่ในชุมชนใกล้บ้านเรา  แต่เดี๋ยวนี้คนยากจนและคนหิวโหยอาศัยอยู่ในทุกชุมชนอเมริกัน มีทั้งในชนบท ในเมืองใหญ่และแม้แต่ในเมืองหลวง
บริดเจส :  พวกเด็ก ๆ ที่เราพยายามให้ความช่วยเหลือ อาจดูเหมือนขาดแคลน แต่พวกเขามีฝันเหมือนเด็กทั่วไป  บางคนบอกผมว่าเขาต้องการเป็นหมอ  เป็นสถาปนิก เป็นนักข่าวกีฬา หรือบางคนอยากเป็นประธานาธิบดี  นี่คือสาเหตุที่พวกเขาควรจะต้องได้รับอาหารที่ถูกสุขลักษณะทุกวัน เพื่อจะเตรียมพร้อมแข่งขันกับเด็กอื่น ๆ และทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง
เดอะโรแทเรียน :  อุปสรรคข้างหน้ามีอะไรบ้าง
ชอร์  :  คนมักมองปัญหาความอดอยากว่าเป็นประเด็นที่ไม่มีอยู่จริง หรือไม่ก็เป็นปัญหาที่กว้างใหญ่เกินไปที่จะแก้ไขให้หมดสิ้น  ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้คนเริ่มตื่นตัวกับปัญหานี้ และถึงเวลาที่เราต้องเร่งแก้ เพื่อว่าลูกหลานของเราไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายจะได้รับอาหารที่ดีต่อสุขภาพทุก ๆ วัน  เราต้องสร้างเครือข่ายผู้นำทางธุรกิจ นักการเมือง ผู้บริหารโรงเรียน ผู้ปกครอง และผู้ให้บริการสาธารณสุข องค์กรไม่แสวงหากำไรและประชาชนผู้ใส่ใจในประเด็นนี้ ร่วมกันเสียสละเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง 
เดอะโรแทเรียน :  อะไรคือแรงกระตุ้นของคุณสำหรับงานในอนาคตอันใกล้นี้
ชอร์ :  มันเกิดจากแรงผลักดันจากทุกส่วนของประเทศ  นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๓ เด็กมากกว่าสองล้านคนอยู่ในรายชื่อของเด็กที่ได้รับอาหารเช้าที่โรงเรียน  ตอนนี้กว่าครึ่งของเด็กที่มาจากครอบครัวยากจนกำลังได้รับอาหารมื้อสำคัญของวันก่อนที่พวกเขาจะเข้าเรียน  เด็ก ๆ หาโอกาสทานอาหารเช้าแบบเต็มที่ไม่ค่อยได้เวลาโรงเรียนปิดภาคเรียน  ดังนั้นเราจึงต้องต่อสู้ผ่านสภาเพื่อผ่านนโยบายที่จะแจกจ่ายอาหารในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนด้วย
บริดเจส : ดูตัวอย่างที่ลอสเองเจิลลิส เมื่อสามปีที่แล้ว โรงเรียนในเมืองต่างผลักดันแผนตัดอาหารเช้าออกจากโรงอาหารในโรงเรียน แล้วให้มาเสริฟในห้องเรียนก่อนเข้าเรียนสักสองสามนาที ซึ่งเป็นความพยายามที่จะให้เด็กทุกคนได้รับความสะดวกในการรับสารอาหารที่เหมาะสมทุกเช้า  ตอนเริ่มแรกมีเพียงร้อยละ ๒๙ ของเด็กจากครอบครัวรายได้ต่ำเท่านั้นที่ได้ทานอาหารเช้าในโรงเรียนในเมืองลอสเองเจลลิส  เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ๙ ใน ๑๐ ของเด็กได้รับอาหารเช้าแล้ว  จากร้อยละ ๒๙ มาเป็นร้อยละ ๙๐ นั่นนับเป็นความก้าวหน้าก้าวใหญ่จากการตัดสินใจง่าย ๆ ครั้งเดียว 
เดอะโรแทเรียน :  อาหารเช้าในโรงเรียนสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นได้มากขนาดไหน
บริดเจส :  เป็นความจริงที่ว่าอาหารเช้านั้นเป็นมื้ออาหารที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็ก  เพราะเรากำลังพูดถึงอาหารเพื่อสมอง คุณครับ เชื่อไหมว่าผมเคยได้ยินว่าอาหารมื้อสุดท้ายของเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่มาโรงเรียนในวันนี้ คืออาหารกลางวันจากโรงเรียนเมื่อวานนี้  ถ้าเด็กนักเรียนต้องมัวพะวงกับจะหาอะไรใส่ท้อง เขาจะมีใจใส่ในบทเรียนคณิตศาสตร์อย่างไร  ครูเล่าให้พวกเราฟังว่าเด็ก ๆ ที่ท้องหิว มักมีปัญหาในการตั้งใจเรียนและมีพฤติกรรมที่เป็นปัญหา หรืออาจปวดท้อง ปวดหัว ต้องไปห้องพยาบาล  ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นหากเด็กมาโรงเรียนอย่างท้องว่าง พวกเขาเรียนรู้อะไรไม่ได้มากนัก.
ตอนนี้ผมเห็นแล้วว่า เราต้องลงทุนเพื่อให้เด็กได้ทานอาหารเช้า เมื่อเด็ก ๆ มีอาหารทานเพียงพอ พวกเขาพร้อมที่จะเรียน และจะโตขึ้นเป็นคนที่แข็งแรงและมีสติปัญญา  เรื่องแรกที่เราทำได้ตอนนี้คือทำให้อาหารเช้าเป็นส่วนหนึ่งชีวิตนักเรียนในโรงเรียนโดยเฉพาะโรงเรียนของคนยากจน  อาหารเช้าไม่ควรรับก่อนมาโรงเรียน แต่ให้หลังจากที่ระฆังแรกของโรงเรียนดังแล้ว  ถ้าทำได้อย่างนี้เด็กนักเรียนไม่ต้องกลัวว่าจะมาโรงเรียนสายเพราะต้องทานอาหารเช้าที่บ้านก่อน  จะไม่มีใครดูหมิ่นนักเรียนยากจนที่ทานอาหารเช้าฟรีในโรงอาหาร แต่นักเรียนทุกคนทานเหมือนกันในห้องรวมเช้าหรือคาบแรกของการเรียน.
ชอร์ :  ข้อดีอีกอย่างคือ สิ่งที่เราทำนั้นเป็นผลดีกับระบบการเมืองของประเทศโดยรวม ความสำเร็จของเราช่วยเปลี่ยนความคิดของประชาชนที่หมดหวังในรัฐบาล  เมื่อบรรดาผู้นำช่วยเราให้เข้าถึงบรรดาเด็ก ๆ ที่เป็นประเด็นเปราะบางที่สุด มันแสดงให้เห็นว่าเราได้เข้าถึงส่วนผสมสำคัญของความฝันของชาวอเมริกัน  ความฝันที่จะทำให้คนรุ่นต่อไปมีความเป็นอยู่ดีกว่ารุ่นของเรา.
เดอะโรแทเรียน :  การต่อสู้กับความหิวโหย ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีช่วงเวลาใดที่โดดเด่นที่สุด
บริดเจส :  ปีที่แล้วผมได้พบกับผู้บริหารสถานศึกษาต่าง ๆ ที่มาจากอาร์คันซัส  ผมกระตุ้นให้พวกเขาลองหาวิธีที่สร้างสรรค์เพื่อช่วยเด็กที่ขาดแคลนอาหารได้รับอาหารที่มีคุณค่า ผลจากการพูดคุยกัน โครงการ "โนคิดฮังกรี อาร์คันซัส" ที่มีโรงเรียนกว่า ๔๐๐ แห่งเข้าร่วมโครงการเสริฟอาหารเช้าในโรงเรียนเมื่อโรงเรียนเปิดเทอมใหม่  เด็กนับพันในรัฐนั้นได้ทานอาหารเช้าที่เหมาะสมกับวัยของเขา  ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ทราบว่าเราได้รับการตอบรับดีที่ซานตา บาบาร่าบ้านผมด้วย เด็กที่นี่เกือบหนึ่งในสี่ต้องต่อสู้กับความหิวโหยในช่วงโรงเรียนปิดเทอม เราก็เลยเอาเด็ก ๆ มาเล่นคอนเสิร์ตในช่วงพักฤดูร้อน เพื่อให้คนตระหนักถึงความสำคัญของโครงการนี้
เดอะโรแทเรียน :  เจฟฟ์ ผมเห็นดาราส่วนใหญ่แสดงและสร้างชื่อเสียงเพื่อผลตอบแทนที่เหมาะสม  แต่คุณกระโดดข้ามออกไปตามที่ต่าง ๆ ในประเทศ คุยกับผู้บริหารโรงเรียน เทศมนตรี และผู้ว่าการรัฐ เกี่ยวกับเรื่องอาหารเช้าโรงเรียน
บริดเจส :  คือว่า ผมไม่ชอบทำอะไรแบบเหยาะแหยะ  ผมต้องการทำอะไรที่เป็นการเริ่มต้นโลกทัศน์ใหม่ ดังนั้นผมต้องกะเกณฑ์ให้ใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ  ผมมีฐานการทำงานที่ดีเพราะรู้จักกับสื่อมวลชนมาก จึงไม่แปลกที่ผมจะใช้ประโยชน์จากฐานนี้เพื่อให้ความรู้และโน้มน้าวผู้คน  ผมพบว่าบรรดาผู้บริหารโรงเรียน นายกเทศมนตรีและผู้ว่าการรัฐทั้งหมดอยากได้ยินสิ่งที่ผมจะพูด  เมื่อตอนที่ผมพบกับคุณบิลลี่ ชอร์ ผู้คนต่างแปลกใจกับความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในเมืองและรัฐต่าง ๆ และไม่มีใครอยากหลุดจากกระแสการพัฒนานี้  ผมได้พบกับผู้ว่าการรัฐมอนทานา โคโลราโด แมรีแลนด์ เวอร์จิเนีย วอชิงตัน โอเรกอน เนวาดา และอาร์คันซอ ผมหวังว่าจะได้พบกับผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เจอร์รี่ บราวน์และนายกเทศมนตรีบิลล์ เดอ บลาซิโอ จากเมืองนิวยอร์ค เพื่อปลุกเร้าให้เขานำโครงการอาหารเช้าของเราเข้าไปสู่ห้องเรียนในชุมชนต่าง ๆ ที่เขาดูแล
เดอะโรแทเรียน :  คุณบิลลี่ ผลที่ได้จากโครงการหยุดความหิวโหยนั้นมีอะไรนอกจากจัดหาอาหารให้ประชาชนบ้าง
ชอร์ :  มีครับ  เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน  การจัดหาอาหารให้ประชาชนนั้นหยุดความหิวโหยได้มื้อหนึ่งหรือวันหนึ่ง แต่การหยุดความหิวโหยนั้นหมายถึงการจัดระบบที่มีหลักประกันว่าเด็ก ๆ จะมีอาหารที่คนต้องการรับประทานสามมื้อทุกวัน มันเป็นความแตกต่างระหว่างการใช้พลาสเตอร์ปิดแผลกับการรักษาบาดแผล
เดอะโรแทเรียน :  จะให้คนอาสามาช่วยคุณได้อย่างไร
ชอร์ :  พวกเขาสามารถเข้าไปดูรายละเอียดจากเว็บไซท์ nokidhungry.org และร่วมเป็นหนึ่งในเครือข่าย "ต้องไม่มีเด็กอดอยาก" สนับสนุนงานของโครงการ สร้างจิตสำนึกในประเด็นความหิวโหยให้แก่สมาชิกในชุมชนของเขา  ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้



ความอดอยากในอเมริกา : มองผ่านตัวเลข
ชาวอเมริกันนับล้านครัวเรือนประสบกับความไม่มั่นคงทางอาหารในปีที่ผ่านมา นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงอาหารที่ต้องการอย่างสม่ำเสมอ กระนั้นประเทศนี้ยังมีคนเป็นจำนวนมากมีปัญหาเป็นโรคอ้วน และอาหารเป็นจำนวนมากที่มีปลายทางที่ถังขยะ เป็นไปได้อย่างไรว่าประเทศที่อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง ยังมีเด็กที่ขาดแคลนอาหาร เราได้เก็บตัวเลขเพื่อประกอบพิจารณาประเด็นปัญหานี้ ดังนี้

หนึ่งในเจ็ดครัวเรือนอเมริกันยังมีปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหาร
ในปี พ.ศ.๒๕๕๖ ร้อยละ ๑๔.๓ ของประชากรอเมริกัน หรือประมาณ ๔๙ ล้านคน นับรวมเด็ก ๑๕.๗ ล้านคน มีความลำบากในการเข้าถึงแหล่งอาหารอย่างเพียงพอ

คนอเมริกันประมาณ ๒๓.๕ ล้านคน ใช้ชีวิตอยู่ในแหล่งทะเลทรายอาหาร ครึ่งหนึ่งของคนจำนวนนี้เป็นคนยากจน  ทะเลทรายอาหารคือสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ทำให้การเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าถูกจำกัด หรือไม่มีทางเข้าถึง เพราะร้านค้าหรือร้านของชำต่าง ๆ เหล่านั้นเข้าถึงลำบากหรืออยู่ไกลเกินไป

ครัวเรือนที่ถูกรายงานว่ามีสภาพความไม่มั่นคงทางอาหารจำนวนร้อยละ ๖๙ จะต้องเลือกว่าจะเอาอาหารหรือสาธารณูปโภค  ๖๖ เปอร์เซนต์ของคนจำนวนนี้ต้องเลือกเอาระหว่างอาหารหรือยารักษาโรค

ในปีงบประมาณ ๒๕๕๖  เด็กจากครอบครัวรายได้ต่ำ ๒๑.๕ ล้านคนได้รับแจกอาหารฟรีหรือในราคาต่ำผ่านโครงการอาหารกลางวันของรัฐบาล เด็กจำนวน ๖ ใน ๗ คนจากตัวเลขนี้ไม่ได้รับแจกอาหารในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน

มลรัฐที่มีตัวเลขความไม่มั่งคงทางอาหารสูงสุด ๕ รัฐ แต่มีอัตราเด็กโรคอ้วนสูงกว่าเฉลี่ย ได้แก่รัฐมิสซิสซิปปี้ จอร์เจีย อาร์คันซอ เท็กซัส และนอร์ธแคโรไลนา ทั้งหมดนี้ยังมีปัญหาความมั่นคงทางอาหารในขณะที่เด็กโรคอ้วนมีอัตราสูงกว่าเฉลี่ยคือ ๒๗.๑ เปอร์เซนต์

ถ้าอัตราการเป็นโรคเบาหวานยังเป็นเหมือนปัจจุบัน ภายในปี พ.ศ.๒๕๙๓ คนอเมริกัน ๑ ใน ๓ คนจะเป็นโรคเบาหวาน  ผู้ป่วยโรคเบาหวานในอเมริกา ๒๖ ล้านคน มีคนที่เป็น เบาหวานประเภท ๒ ถึง ๙๐-๙๕ เปอร์เซนต์ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถป้องกันการเกิดโรคนี้ได้โดยการทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายและลดน้ำหนักลง

นับตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๓ ราคาพืชผักผลไม้เพิ่มขึ้น ๔๐ เปอร์เซนต์ แต่ราคาอาหารสำเร็จรูปก็ลดลงถึง ๔๐ เปอร์เซนต์  ถ้าคน ๆ หนึ่งใช้เงิน ๓ เหรียญซื้ออาหารรับประทาน เขาจะได้พลังงาน ๓,๗๖๗ แคลอรี่จากอาหารสำเร็จรูป หรือเขาจะได้ ๓๑๒ แคลอรี่จากอาหารครบหมู่

ยี่สิบปีที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาใช้เงินงบประมาณ ๑๙.๒ พันล้านเหรียญสนับสนุนอาหารขยะที่ผลิตจากข้าวโพดและถั่วเหลือง เช่นสารให้ความหวาน น้ำมันพืช แป้งข้าวโพด แต่แอปเปิ้ลซึ่งเป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ได้รับเงินสนับสนุนจากงบประมาณรัฐบาล ได้รับเพียง ๖๘๙ ล้านเหรียญตลอดระยะเวลา ๑๘ ปีที่ผ่านมา

คนอเมริกัน ๑ ใน ๗ คนได้รับแสตมป์อาหาร โดยเฉลี่ยแล้วประชากร ๔๗ ล้านคนอยู่ในโครงการรับความช่วยเหลือโภชนาการอาหารเสริม (SNAP) ทุกเดือนในปี พ.ศ.๒๕๕๖  ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มโครงการในปี ๒๕๑๒ เฉพาะในช่วงระหว่างปี ๒๕๕๐ ถึง ๒๕๕๔ จำนวนผู้รับประโยชน์นี้เพิ่มสูงขึ้นถึง ๗๐ เปอร์เซนต์ และคิดเป็นเงินงบประมาณในปี ๒๕๕๖ ถึง ๗๖.๔ พันล้านเหรียญสหรัฐ


ร้อยละ ๕๘ ของครอบครัวที่รับความช่วยเหลือ SNAP มีรายได้จากการทำงานคนเดียว ครอบครัวยากจนที่ทำงานเลี้ยงตัวเองคือกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับความช่วยเหลือตามโครงการ SNAP ที่มีเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด 

ผลประโยชน์โดยเฉลี่ยจากโครงการ SNAP คือ ๑.๔๘ เหรียญต่ออาหารหนึ่งมื้อ โดยเฉลี่ยแล้วโครงการนี้ให้ความช่วยเหลือเทียบเท่าเงิน ๑๓๓ เหรียญต่อเดือนในปี ๒๕๕๖  และโดยเฉลี่ยครอบครัวที่รับประโยชน์จาก SNAP จะใช้สิทธิ ๓ ใน ๔ ภายในกลางเดือน และใช้ ๙๐ เปอร์เซนต์ภายในสามสัปดาห์
คนอเมริกันทิ้งอาหารมากถึง ๓๕ ล้านตันในปี พ.ศ.๒๕๕๕  อาหารมากถึงร้อยละ ๔๐ ถูกทิ้งไปจนเป็นปัญหาของเสียล้นเมือง เช่น ถุงพลาสติก กระดาษ โลหะ และแก้วที่ใช้หีบห่ออาหารนั้น


ข้อมูล : The Rotarian May 2015

No comments: