Monday, August 31, 2015

WHY MENTOR MATTERS?

ที่ปรึกษา สำคัญตรงไหน
โดย โรเบิร์ต ดี. พัทนัม
ภาพโดย เกรก คลาก


โรแทเรียนให้คำปรึกษากับเยาวชนตามชุมชนต่าง ๆ ทุกวัน  การให้คำปรึกษาเหล่านั้นส่งผลให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

คนอเมริกันมักคิดถึงตัวเองว่าเป็นคนเก่งแบบ "ข้ามาคนเดียว" ไม่ว่าจะเห็นจากในภาพยนตร์คาวบอยควบม้าเข้าสู่ดินแดนอันกว้างใหญ่ที่มีฉาก หลังเป็นพระอาทิตย์กำลังตก แต่หากว่าเราจะคิดสักนิดถึงความจริงที่ว่าสัญลักษณ์ของนิยายอเมริกันต้อง เกี่ยวข้องกับขบวนรถไฟที่นำเอาความช่วยเหลือจากชุมชนของผู้ บุกเบิก ลูกตุ้มกาลเวลาแกว่งไปมาระหว่างขั้วพระเอกตัวคนเดียวกับอีกขั้วคือชุมชน  ทั้งสองต่างปรากฎอยู่ในความคิดเชิงปรัชญาและในชีวิตจริงของเรา  ในช่วงกึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ไม่ว่าจะร้ายหรือดีเราก็ได้พบเห็นลูกตุ้มยักษ์แกว่งอยู่ระหว่างขั้วสุดยอดคน ในสังคม การเมือง วัฒนธรรม ในขณะเดียวกันอีกขั้วหนึ่งนักวิจัยก็ป้อนข้อมูลหลักฐานที่ว่าสังคมมีความ สำคัญเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นสถาบันทางสังคม ระบบเครือข่ายในสังคม หรือกล่าวสั้น ๆ คือ ชุมชนนั่นเอง ก็ยังเป็นขั้วที่เติมเต็มความมั่งคั่งให้กับประเทศและเป็นโอกาสของลูกหลาน ของเรา

นักสังคมวิทยามักใช้คำว่า "ทุนสังคม" เพื่ออธิบายการต่อเชื่อมทางสังคม ซึ่งหมายความถึงความผูกพันธ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่เป็นทางการกับครอบครัว เพื่อน เพื่อนบ้าน และคนรู้จัก  ที่เกี่ยวโยงออกไปสู่สังคมพลเมือง สถาบันศาสนา ทีมนักกีฬา  กิจกรรมของอาสาสมัคร เป็นต้น  ทุนสังคมนั้นได้รับการยืนยันบ่อย ๆ ว่าเป็นดัชนีบ่งชี้ที่หนักแน่นว่าชุมชนหรือปัจเจกบุคคลอยู่ในสถานภาพที่ดี  การยึดโยงกันในชุมชนและเครือข่ายสังคมมีผลมากต่อสุขภาพ ความสุข ความสำเร็จทางการศึกษา ความสำเร็จทางเศรษฐกิจ ความปลอดภัยในสังคม และ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง) สวัสดิภาพของเยาวชน  แต่ว่ามันก็เหมือนกับทุนทางการเงินและทุนมนุษย์ ทุนสังคมนั้นถูกจัดสรรออกไปอย่างไม่เท่าเทียม และความแตกต่างในการเชื่อมโยงทางสังคมเป็นผลต่อช่องว่างทางโอกาสสำหรับ เยาวชน
ผลการศึกษามากมายระบุว่าคนอเมริกันที่มีการศึกษามีเครือ ข่ายเชื่อมโยงเขาทั้งในระดับกว้างและลึก ทั้งกลุ่มคนใกล้ตัวเช่นครอบครัวเพื่อนและไกลออกไปในสังคมที่กว้างขวาง  ตรงข้ามคนอเมริกันที่มีการศึกษาต่ำ มีเครือข่ายทางสังคมที่ด้อยกว่า ซ้ำซ้อนในวงแคบ ๆ และยึดติดอยู่ในครอบครัว (ซ้ำซ้อนในวงแคบหมายถึงเพื่อนรู้จักคนที่เขารู้จักทั้งหมด พวกเขายังขาดการเข้าถึง "เพื่อนของเพื่อน" แบบที่คนอเมริกันชั้นสูงมีกัน  กล่าวโดยสรุปคือพ่อแม่ของเด็กที่เรียนถึงระดับมหาวิทยาลัยมีเพื่อนสนิท มากกว่าและมีคนรู้จักมากกว่าพ่อแม่ของเด็กที่มีการศึกษา น้อย

ห้องเรียนส่งผลต่ออนาคตของความเป็น "เพื่อนสนิท" ที่จะผูกพันกันอย่างเหนียวแน่นยาวนาน ที่อาจเกื้อกูลกันต่อไปได้ทางจิตใจและอาจมากถึงทางวัตถุ  หนึ่งในห้าของผู้ปกครองที่มีระดับความเป็นอยู่ดีมีรายงานว่ามีเพื่อนสนิท มากถึง ๒๐ - ๒๕ เปอร์เซนต์ มากกว่ากลุ่มพ่อแม่หนึ่งในห้าที่อยู่ระดับล่าง

บางทีสิ่งที่น่าจะมีความสำคัญกว่า ก็คือการที่คนอเมริกันที่มีความรู้ดีและมีเครือข่าย "ความสัมพันธ์แบบหลวม ๆ" มากและเชื่อมโยงเป็นวงกว้างหลากหลายระดับชั้น การเข้าถึงและลักษณะความหลากหลายของความสัมพันธแบบหลวม ๆ นี้มีคุณค่าต่อสังคมในอันที่จะขับเคลื่อนให้เกิดการศึกษาและเศรษฐกิจที่ดี ขึ้น เพราะว่าความสัมพันธ์แบบนี้เปิดทางให้ผู้ปกครองและเด็กที่มีฐานะดีตักตวง ประโยชน์เครือข่ายผู้มีความรู้และมีความมั่งคั่งได้มากกว่า เด็ก ๆ และผู้ปกครองที่มีฐานะยากจนกว่า

พ่อแม่ที่จบวิทยาลัยมักจะมีหนทางในการทำความรู้จักกับคนมาก หน้าหลายตา  ความสัมพันธ์หลวม ๆ นี้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาชีพการงานที่จะสร้างความก้าว หน้าสืบเนื่องไปของลูก ๆ เช่น อาชีพอาจารย์ ครู นักกฎหมาย บุคคลากรทางการแพทย์ ผู้นำทางธุรกิจ แต่ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดกับชนชั้นแรงงานดั้งเดิมก็คือเครือข่ายที่มีอาชีพ เป็นตำรวจและเครือข่ายเพื่อนบ้าน
ในทางตรงกันข้าม ความสัมพันธ์ทางสังคมของผู้ปกครองที่อยู่ในชนชั้นระดับล่างกลับรวมศูนย์ไว้ อย่างไม่เหมาะสมในกลุ่มครอบครัว (และอาจเพียงไกลออกไปในกลุ่มเพื่อนโรงเรียนมัธยมศึกษาและเพื่อนบ้านใกล้ เคียง) ซึ่งด้วยเหตุผลที่พวกเขาอยู่ในตำแหน่งทางสังคมในระดับที่ไปสุดที่ผู้ปกครอง ถึงแม้ครอบครัวที่มีความรู้ดีมีฐานะพอใช้ได้จะได้เปรียบที่ มีเครือข่ายส่วนตัวขนาดใหญ่กว่า สิ่งที่สำคัญกว่าคือคุณภาพของเครือข่ายที่มีอยู่นั้นว่ากลุ่มเพื่อนหรือคน รู้จักในเครือข่ายนั้นสามารถหยิบยื่นความช่วยเหลือแก่พวก เขาและลูก ๆ ได้

ผู้ปกครองที่มีฐานะดีจะสามารถสร้างเครือข่ายแบบหลวม ๆ ให้กับลูกของตัวเองได้ด้วยการจัดให้พบปะกับเพื่อนเด็กโตด้วยกัน คนทำงาน หรือในกิจกรรมที่จัดเตรียมไว้  ในขณะที่เด็ก ๆ จากครอบครัวคนทำงานจะไปมาหาสู่กันเฉพาะญาติสนิทกับเพื่อนบ้าน ทำให้การสร้างเครือข่ายที่มีคุณภาพเกิดขึ้นได้ยาก  เมื่อลูก ๆ ของครอบครัวมีฐานะปรับตัวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย เลือกวิชาหลัก และวางแผนการทำงาน พวกเขามีผู้ให้คำปรึกษาที่เชื่อถือได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัว คณะที่เรียน หรือบุคคลภายนอก ในขณะที่เด็กจากครอบครัวยากจนจะปรึกษาเฉพาะกับสมาชิกในครอบ ครัวที่สนิทกันคนหรือสองคนเท่านั้น และจะยิ่งน้อยลงไปอีกถ้าในครอบครัวไม่มีคนที่มีประสบการณ์จากมหาวิทยาลัย กล่าวโดยสรุปคือเครือข่ายสังคมของครอบครัวมีฐานะดีมีการ ศึกษาสูงจะเป็นหลักประกันการขยายความมั่งคั่งทางโอกาสแก่ เด็ก ๆ ในครอบครัว

การสร้างสายสัมพันธ์มีความสำคัญไม่เพียงแต่การหาโรงเรียน หรืองานดี ๆ เท่านั้น  ความสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่มีมากพอ ๆ กับเส้นทางการมีโอกาสได้ฝึกงานหรือมุมหนึ่งของงานออฟฟิศ นั่นก็คือการที่ทุนสังคมสามารถปกป้องเด็กที่มีฐานะดีจากภัยที่เกิดขึ้นกับ วัยรุ่น  การศึกษาตลอด ๔๐ ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นผลที่ค่อนข้างคงที่ว่าการใช้ยาเสพติดหรือดื่มของมึน เมาเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับเด็กที่มีฐานะดีไม่ต่างจาก เด็กยากจน แต่ที่แตกต่างกันคือครอบครัวและชุมชนให้การปกป้องคุ้มครองจนเด็กที่มาจาก ฐานะดีได้รับผลลบน้อยที่สุดจากยาเสพติดและภัยร้ายต่าง ๆ

การให้คำปรึกษาหรือการกลุ่มพี่เลี้ยงภายนอกครอบครัวมีบทบาท สำคัญชัดเจนในการช่วยให้เด็กพัฒนาศักยภาพของตนเองมากยิ่ง ขึ้น

การประเมินผลที่จัดทำด้วยความระมัดระวังของหน่วยงาน อิสระได้แสดงให้เห็นว่าการให้คำปรึกษาอย่างจริงจังสามารถ ช่วยเด็กที่อยู่ในภาวะเสี่ยงพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ (รวมถึงพ่อแม่) ผลดีที่ตามมาคือการศึกษาและจิตวิทยาสังคมที่ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ช่วยเรื่องคะแนนเข้าเรียน ผลการเรียน สร้างคุณค่าให้แก่ตนเอง และลดการใช้ความรุนแรง การประเมินผลนี้ได้ผลค่อนข้างคงที่แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรที่อาจมี น้ำหนักมาก ผลที่วัดได้นี้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อการให้คำปรึกษาทำอย่างต่อเนื่องยาวนาน และเป็นผลชัดเจนกับเด็กที่อยู่ในสภาวะเสียงสูง  (เด็กจากชนชั้นสูงมีโอกาสรับคำปรึกษาแบบไม่เป็นทางการอยู่แล้วรอบ ๆ ตัวพวกเขา ดังนั้นการให้คำปรึกษาแบบเป็นทางการไม่มีผลมากนักต่อความสำเร็จของพวกเขา) จากผลการประเมินนี้สรุปว่าการให้คำปรึกษาทำให้เกิดผลที่มี ประสิทธิภาพ

การให้คำปรึกษาแบบเป็นทางการนั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นปกติและ ไม่ยั่งยืนเมื่อเทียบกับการให้คำปรึกษาแบบไม่เป็นทางการ  ในการสำรวจระดับประเทศเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๖ เยาวชนตอบแบบสอบถามจำนวน ๖๒ เปอร์เซนต์บอกว่าได้รับคำปรึกษาแบบไม่เป็นทางการ (หรือแบบธรรมชาติ)  ในขณะที่เพียง ๑๕ เปอร์เซนต์รับคำปรึกษาแบบเป็นทางการ  ยิ่งไปกว่านั้นการให้คำปรึกษาแบบไม่เป็นทางการยังมีช่วงเวลายาวนานถึง ๓๐ เดือน ในขณะที่คำปรึกษาแบบเป็นทางการจบลงภายในเวลา ๑๘ เดือน

อย่างไรก็ตามค่าเฉลี่ยระดับประเทศเหล่านั้นทำให้ผลต่างใน การเข้าถึงการให้คำปรึกษาที่มีอยู่สูงมากนั้นยังไม่ชัดเจน กล่าวคือการให้คำปรึกษาแบบไม่เป็นทางการยังคงเป็นสิงที่ ปกติธรรมดาสำหรับเด็กจากครอบครัวร่ำรวยระดับกลางไปจนถึง ระดับสูงในขณะที่เด็กจากครอบครัวรายได้ต่ำจะเข้าถึงยากกว่า

เมื่อดูคะแนนรวมทุกกลุ่มสำหรับการให้คำปรึกษาแบบไม่เป็นทาง การภายนอกครอบครัว เช่น ครู เพื่อน ๆ ของคนในครอบครัว ผู้นำเยาวชน ผู้นำศาสนา โคช ผลปรากฎว่าเด็กที่มาจากครอบครัวชั้นสูงเข้าถึงได้มากกว่าสองถึงสามเท่า  เด็กฐานะดีและเพื่อน ๆ ของเขาที่มีฐานะด้อยกว่าจะมีโอกาสเท่าเทียมกันสำหรับคนในครอบครัวในการเข้า ถึงคำปรึกษา แต่เด็กครอบครัวฐานะดีมักจะได้จะได้คำแนะนำจากผู้มีความเชี่ยวชาญสูงกว่า ดังนั้นคำแนะนำสำหรับครอบครัวมักจะมีผลต่อความสำเร็จทางการ ศึกษาของเด็กในครอบครัวฐานะดีกว่า กล่าวโดยสรุปคือเด็กจากครอบครัวมีฐานะดีมักจะได้คำแนะนำแบบไม่เป็นทางการที่ ดีกว่า

ช่องว่างของการได้รับคำปรึกษานั้นมีกว้างมากในเด็กนักเรียน ระดับประถม และมีมากขึ้นเมื่อเด็กเรียนถึงระดับชั้นมัธยมต้น  ความจริงที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คือการให้คำปรึกษาแบบเป็นทางการไม่ได้ช่วยปิดช่องว่างได้มากนัก  ความจริงคำปรึกษาแบบเป็นทางการชดเชยได้เพียงเล็กน้อย สำหรับนักเรียนระดับประถมกับมัธยมและจะหายไปโดยสิ้นเชิง เมื่อเด็กมีอายุมากขึ้น  ในชั้นระดับมัธยมปลายนั้นไม่มีความแตกต่างกันเลยสำหรับการรับคำปรึกษาแบบ เป็นทางการ  ดังนั้นโดยรวมแล้วช่องว่างของการให้คำปรึกษา (ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ) นั้นเริ่มในระดับประถมและเพิ่มขึ้นมากเมื่อเด็กต้องการความช่วยเหลือจากนอก ครอบครัว

กล่าวโดยย่อ สองในสามของเด็กครอบครัวรำ่รวยมีผู้ให้คำปรึกษาที่ไม่ใช่คนในครอบครัว ในขณะ ที่สองในสามของเด็กยากจนไม่มี  ช่องว่างที่ชัดเจนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเด็กยากจนไม่ต้องการคำปรึกษา เพราะความจริงก็คือเด็กยากจนซึ่งมีจำนวนมากถึงสองเท่าของ เด็กครอบครัวมีฐานะมีช่วงสำคัญของชีวิตที่ต้องการที่ปรึกษา แต่ไม่สามารถหาที่ปรึกษาได้

ผลประการหนึ่งของการเกิดช่องว่างของการมีที่ปรึกษาคือ การซำ้เติมช่องว่างของการเรียนรู้เพื่อเอาตัวรอดของเด็ก ๆ ซึ่งทำให้เด็กที่มีฐานะดีได้เปรียบกว่าในสังคมสามารถเรียน รู้การเอาตัวรอดจากโอกาสที่มีให้เลือกมากกว่า  จากการสัมภาษณ์แสดงว่า เด็กวัยรุ่นอายุ ๑๘ - ๑๙ ปีทั่วประเทศไม่เข้าใจกับการปฏิบัติตัวในโรงเรียน  ไม่ว่าจะเป็นระบบสองหรือสี่ปีในโรงเรียน หรือการจัดการการเงิน  โอกาสในการได้งานทำ  และแม้แต่โปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือพวกเขาเอง เช่น โปรแกรมการให้เงินกู้เพื่อการศึกษา  พอ่แม่ที่มีความรู้น้อยก็มีทักษะจำกัดหรือไม่มีประสบการณ์เพียงพอที่จะ อธิบายสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ข้อสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือการที่พวกเขาขาดเครือข่ายที่ปรึกษาแบบไม่เป็น ทางการในขณะที่พวกเด็กรวยมีอยู่รอบตัว  ตัวอย่างหนึ่งที่น่าหดหู่ก็คือในระหว่างที่พวกเราเก็บข้อมูลสัมภาษณ์อยู่ นี้ คุณพ่อจากครอบครัวชนชั้นแรงงานถามเราว่าเขาจะนำลูกสาวมาร่วมสัมภาษณ์พร้อม กับลูกชายได้หรือไม่ เพื่อว่าลูกสาวคนนี้จะได้พบปะกับพวกคนที่เรียนจบมหาวิทยาลัยบ้าง โปรแกรมดี ๆ ที่ตอบสนองต่อช่องว่างทางโอกาสจะช่วยตอบสนองช่องว่างของการเรียนรู้ และในที่สุดจะปิดช่องว่างแห่งการให้คำปรึกษาได้.

----------
สโมสรของท่านจะช่วยอะไรได้บ้าง
โปรแกรม ของโรตารีหลากหลายโปรแกรมที่มุ่งพัฒนาเยาวชน ท่านอาจเริ่มจากสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้
อินเตอร์ แรคท์ เป็นสโมสรเยาวชนที่สโมสรโรตารีห้การ อุปถัมภ์สำหรับกลุ่มเยาวชนที่มี อายุ ๑๒-๑๘ ปี ท่านสามารถให้การอุปถัมภ์ได้แบบการตั้ง สโมสรในโรงเรียนหรือแบบในชุมชนก็ ได้ โดยดูขั้นตอนตามเอกสารในเว็บไซท์ต่อไปนี้ www.rotary.org/take-action/empower-leaders/sponsor-interact-club.
ไร ลา หรือ รางวัลผู้นำเยาวชนโรตารี โดยปกติไรลาคือกิจกรรมเยาวชนที่ออกแบบมาเพื่อ นักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษา แต่สามารถปรับหลักสูตรเพื่อเด็โตขึ้นที่มี ความเป็นผู้นำ หากต้องการจัดกิจกรรมไรลาโปรดดูรายละเอียด เพิ่มเติมที่ www.rotary.org/take-action/empower-leaders/organize-ryla-event
 
ต้อง การข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรมของโรตารีที่เกี่ยว กับเยาวชน ตลอดจนทุนการศึกษาและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมได้ที่ www.rotary.org/myrotary/take-action/empower-leaders.

No comments: