จากนั้นมาโครงการ "ร่วมพลังกับเรา" ได้หาทุนมากถึง ๔๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ และนำไปใช้ในโครงการจัดหาอาหารและต่อสู่กับความยากจนในสหรัฐอเมริกา ยูเอสนิวส์แอนด์เวิร์ลด์รีพอร์ทเสนอชื่อชอร์เป็นหนึ่งในผู้นำที่ดีที่สุดในอเมริกา ตามด้วยรายได้ของกลุ่มเพิ่มขึ้นจาก ๑๓ ล้านเหรียญในปี ๒๕๕๐ เป็น ๔๐ ล้านเหรียญ ในปี ๒๕๕๖ ชอร์เปรียบพันธกิจของเขาเหมือนเกมฟุตบอล ค่อย ๆ ชนะไปทีละสนาม จนในที่สุดบรรลุเป้าหมายแชมป์
เดอะโรแทเรียน : ปัญหาต่าง ๆ ในโลกมีมากมายที่น่าแก้ไข ทำไมคุณเลือกปัญหานี้
ชอร์ : ตอนที่ผมกับเดบบี้เร่ิมทำโครงการ "ร่วมพลังกับเรา" และเริ่มหาทุนเข้ามาในราวกลางทศวรรษ ๑๙๘๐ เรานำเงินไปลงทุนในองค์การไม่แสวงหากำไรเพื่อต่อสู้กับความหิวโหย ไม่นานนักเราได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจอย่างยิ่ง กล่าวคือ แม้เราตั้งใจที่จะทำให้เกิดความแตกต่าง แต่เราก็สามารถทำให้ได้มากกว่านั้น และเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มั่นคง ด้วยการจัดทำแผนกลยุทธที่ถูกต้อง เราเชื่อว่าปัญหาเด็กหิวโหยจะหมดไปจากอเมริกา เรามีอาหารเพียงพอในประเทศนี้ ที่ต้องทำคือเชื่อมโยงเด็กที่ขาดอาหารไปสู่แหล่งอาหาร นี่คือเหตุผลที่โครงการ "โนคิดฮังกรี" เกิดขึ้น
บริดเจส : ผมสนับสนุนงานเพื่อเด็กมามากกว่า ๓๐ ปีแล้ว ในปี พ.ศ.๒๕๒๗ ผมเจอหน่วยงานที่ชื่อว่า เครือข่ายหยุดความหิวโหย เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่จัดหาอาหารให้เด็กทั่วโลก เราช่วยทำรายการทีวีชื่อ "เอนด์ฮังเกอร์เทเลเวนท์" (ทีวีข่าวเพื่อหยุดความหิวโหย) ถ่ายทอดสด ๆ โดยเน้นที่ปัญหาความอดอยากทั่วโลก มีดาราดังมาร่วมรายการด้วย อาทิ เกรกอรี เปก แจ็ค เลมมอน เบิร์ต แลนคาสเตอร์ บ๊อบ นิวฮาร์ท เคนนี่ ลอกกินส์ และดาราอีกหลายคน นอกจากนี้ผมยังทำภาพยนต์เกี่ยวกับความอดอยากที่ชื่อ "ฮิดเด้นอินอเมริกา" (มันซ่อนอยู่ในอเมริกา) มีดารานำคือ โบ เป็นพี่ชายผมเอง จากนั้นประมาณปี ๒๕๕๑ ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจเริ่มไม่ค่อยดี ผมก็เลยต้องถอยกลับมาสนใจเรื่องปากท้องของคนแถวบ้านก่อนแทน ตอนนั้นผมหยั่งไปไม่ถึงเด็กนับล้านในประเทศมั่งคั่งนี้ ประเทศที่กินเท่าไหร่ก็ไม่พอ.
เดอะโรแทเรียน : เวลาคนอเมริกันคิดถึงความอดอยาก พวกเราคิดถึงคนหิวโหยในประเทศกำลังพัฒนา แล้วหน้าตาของเด็กหิวโหยในอเมริกาเป็นอย่างไร
ชอร์ : ก็หน้าตาอย่างคนปกตินี่แหละ เขาอาจเป็นเด็กชายนั่งในห้องเรียนใกล้ ๆ ลูกชายของคุณ หรือเด็กหญิงที่อยู่ในทีมฟุตบอลเดียวกับลูกสาวคุณ พวกเขาอาจนั่งอยู่บนม้านั่งสองสามแถวห่างจากคุณในโบสถ์ เมื่อก่อนนี้กลุ่มคนยากจนรวมตัวกันอยู่ในชุมชนใกล้บ้านเรา แต่เดี๋ยวนี้คนยากจนและคนหิวโหยอาศัยอยู่ในทุกชุมชนอเมริกัน มีทั้งในชนบท ในเมืองใหญ่และแม้แต่ในเมืองหลวง
บริดเจส : พวกเด็ก ๆ ที่เราพยายามให้ความช่วยเหลือ อาจดูเหมือนขาดแคลน แต่พวกเขามีฝันเหมือนเด็กทั่วไป บางคนบอกผมว่าเขาต้องการเป็นหมอ เป็นสถาปนิก เป็นนักข่าวกีฬา หรือบางคนอยากเป็นประธานาธิบดี นี่คือสาเหตุที่พวกเขาควรจะต้องได้รับอาหารที่ถูกสุขลักษณะทุกวัน เพื่อจะเตรียมพร้อมแข่งขันกับเด็กอื่น ๆ และทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง
เดอะโรแทเรียน : อุปสรรคข้างหน้ามีอะไรบ้าง
ชอร์ : คนมักมองปัญหาความอดอยากว่าเป็นประเด็นที่ไม่มีอยู่จริง หรือไม่ก็เป็นปัญหาที่กว้างใหญ่เกินไปที่จะแก้ไขให้หมดสิ้น ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้คนเริ่มตื่นตัวกับปัญหานี้ และถึงเวลาที่เราต้องเร่งแก้ เพื่อว่าลูกหลานของเราไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายจะได้รับอาหารที่ดีต่อสุขภาพทุก ๆ วัน เราต้องสร้างเครือข่ายผู้นำทางธุรกิจ นักการเมือง ผู้บริหารโรงเรียน ผู้ปกครอง และผู้ให้บริการสาธารณสุข องค์กรไม่แสวงหากำไรและประชาชนผู้ใส่ใจในประเด็นนี้ ร่วมกันเสียสละเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
เดอะโรแทเรียน : อะไรคือแรงกระตุ้นของคุณสำหรับงานในอนาคตอันใกล้นี้
ชอร์ : มันเกิดจากแรงผลักดันจากทุกส่วนของประเทศ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๓ เด็กมากกว่าสองล้านคนอยู่ในรายชื่อของเด็กที่ได้รับอาหารเช้าที่โรงเรียน ตอนนี้กว่าครึ่งของเด็กที่มาจากครอบครัวยากจนกำลังได้รับอาหารมื้อสำคัญของวันก่อนที่พวกเขาจะเข้าเรียน เด็ก ๆ หาโอกาสทานอาหารเช้าแบบเต็มที่ไม่ค่อยได้เวลาโรงเรียนปิดภาคเรียน ดังนั้นเราจึงต้องต่อสู้ผ่านสภาเพื่อผ่านนโยบายที่จะแจกจ่ายอาหารในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนด้วย
บริดเจส : ดูตัวอย่างที่ลอสเองเจิลลิส เมื่อสามปีที่แล้ว โรงเรียนในเมืองต่างผลักดันแผนตัดอาหารเช้าออกจากโรงอาหารในโรงเรียน แล้วให้มาเสริฟในห้องเรียนก่อนเข้าเรียนสักสองสามนาที ซึ่งเป็นความพยายามที่จะให้เด็กทุกคนได้รับความสะดวกในการรับสารอาหารที่เหมาะสมทุกเช้า ตอนเริ่มแรกมีเพียงร้อยละ ๒๙ ของเด็กจากครอบครัวรายได้ต่ำเท่านั้นที่ได้ทานอาหารเช้าในโรงเรียนในเมืองลอสเองเจลลิส เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ๙ ใน ๑๐ ของเด็กได้รับอาหารเช้าแล้ว จากร้อยละ ๒๙ มาเป็นร้อยละ ๙๐ นั่นนับเป็นความก้าวหน้าก้าวใหญ่จากการตัดสินใจง่าย ๆ ครั้งเดียว
เดอะโรแทเรียน : อาหารเช้าในโรงเรียนสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นได้มากขนาดไหน
บริดเจส : เป็นความจริงที่ว่าอาหารเช้านั้นเป็นมื้ออาหารที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็ก เพราะเรากำลังพูดถึงอาหารเพื่อสมอง คุณครับ เชื่อไหมว่าผมเคยได้ยินว่าอาหารมื้อสุดท้ายของเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่มาโรงเรียนในวันนี้ คืออาหารกลางวันจากโรงเรียนเมื่อวานนี้ ถ้าเด็กนักเรียนต้องมัวพะวงกับจะหาอะไรใส่ท้อง เขาจะมีใจใส่ในบทเรียนคณิตศาสตร์อย่างไร ครูเล่าให้พวกเราฟังว่าเด็ก ๆ ที่ท้องหิว มักมีปัญหาในการตั้งใจเรียนและมีพฤติกรรมที่เป็นปัญหา หรืออาจปวดท้อง ปวดหัว ต้องไปห้องพยาบาล ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นหากเด็กมาโรงเรียนอย่างท้องว่าง พวกเขาเรียนรู้อะไรไม่ได้มากนัก.
ตอนนี้ผมเห็นแล้วว่า เราต้องลงทุนเพื่อให้เด็กได้ทานอาหารเช้า เมื่อเด็ก ๆ มีอาหารทานเพียงพอ พวกเขาพร้อมที่จะเรียน และจะโตขึ้นเป็นคนที่แข็งแรงและมีสติปัญญา เรื่องแรกที่เราทำได้ตอนนี้คือทำให้อาหารเช้าเป็นส่วนหนึ่งชีวิตนักเรียนในโรงเรียนโดยเฉพาะโรงเรียนของคนยากจน อาหารเช้าไม่ควรรับก่อนมาโรงเรียน แต่ให้หลังจากที่ระฆังแรกของโรงเรียนดังแล้ว ถ้าทำได้อย่างนี้เด็กนักเรียนไม่ต้องกลัวว่าจะมาโรงเรียนสายเพราะต้องทานอาหารเช้าที่บ้านก่อน จะไม่มีใครดูหมิ่นนักเรียนยากจนที่ทานอาหารเช้าฟรีในโรงอาหาร แต่นักเรียนทุกคนทานเหมือนกันในห้องรวมเช้าหรือคาบแรกของการเรียน.
ชอร์ : ข้อดีอีกอย่างคือ สิ่งที่เราทำนั้นเป็นผลดีกับระบบการเมืองของประเทศโดยรวม ความสำเร็จของเราช่วยเปลี่ยนความคิดของประชาชนที่หมดหวังในรัฐบาล เมื่อบรรดาผู้นำช่วยเราให้เข้าถึงบรรดาเด็ก ๆ ที่เป็นประเด็นเปราะบางที่สุด มันแสดงให้เห็นว่าเราได้เข้าถึงส่วนผสมสำคัญของความฝันของชาวอเมริกัน ความฝันที่จะทำให้คนรุ่นต่อไปมีความเป็นอยู่ดีกว่ารุ่นของเรา.
เดอะโรแทเรียน : การต่อสู้กับความหิวโหย ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีช่วงเวลาใดที่โดดเด่นที่สุด
บริดเจส : ปีที่แล้วผมได้พบกับผู้บริหารสถานศึกษาต่าง ๆ ที่มาจากอาร์คันซัส ผมกระตุ้นให้พวกเขาลองหาวิธีที่สร้างสรรค์เพื่อช่วยเด็กที่ขาดแคลนอาหารได้รับอาหารที่มีคุณค่า ผลจากการพูดคุยกัน โครงการ "โนคิดฮังกรี อาร์คันซัส" ที่มีโรงเรียนกว่า ๔๐๐ แห่งเข้าร่วมโครงการเสริฟอาหารเช้าในโรงเรียนเมื่อโรงเรียนเปิดเทอมใหม่ เด็กนับพันในรัฐนั้นได้ทานอาหารเช้าที่เหมาะสมกับวัยของเขา ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ทราบว่าเราได้รับการตอบรับดีที่ซานตา บาบาร่าบ้านผมด้วย เด็กที่นี่เกือบหนึ่งในสี่ต้องต่อสู้กับความหิวโหยในช่วงโรงเรียนปิดเทอม เราก็เลยเอาเด็ก ๆ มาเล่นคอนเสิร์ตในช่วงพักฤดูร้อน เพื่อให้คนตระหนักถึงความสำคัญของโครงการนี้
เดอะโรแทเรียน : เจฟฟ์ ผมเห็นดาราส่วนใหญ่แสดงและสร้างชื่อเสียงเพื่อผลตอบแทนที่เหมาะสม แต่คุณกระโดดข้ามออกไปตามที่ต่าง ๆ ในประเทศ คุยกับผู้บริหารโรงเรียน เทศมนตรี และผู้ว่าการรัฐ เกี่ยวกับเรื่องอาหารเช้าโรงเรียน
บริดเจส : คือว่า ผมไม่ชอบทำอะไรแบบเหยาะแหยะ ผมต้องการทำอะไรที่เป็นการเริ่มต้นโลกทัศน์ใหม่ ดังนั้นผมต้องกะเกณฑ์ให้ใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ผมมีฐานการทำงานที่ดีเพราะรู้จักกับสื่อมวลชนมาก จึงไม่แปลกที่ผมจะใช้ประโยชน์จากฐานนี้เพื่อให้ความรู้และโน้มน้าวผู้คน ผมพบว่าบรรดาผู้บริหารโรงเรียน นายกเทศมนตรีและผู้ว่าการรัฐทั้งหมดอยากได้ยินสิ่งที่ผมจะพูด เมื่อตอนที่ผมพบกับคุณบิลลี่ ชอร์ ผู้คนต่างแปลกใจกับความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในเมืองและรัฐต่าง ๆ และไม่มีใครอยากหลุดจากกระแสการพัฒนานี้ ผมได้พบกับผู้ว่าการรัฐมอนทานา โคโลราโด แมรีแลนด์ เวอร์จิเนีย วอชิงตัน โอเรกอน เนวาดา และอาร์คันซอ ผมหวังว่าจะได้พบกับผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เจอร์รี่ บราวน์และนายกเทศมนตรีบิลล์ เดอ บลาซิโอ จากเมืองนิวยอร์ค เพื่อปลุกเร้าให้เขานำโครงการอาหารเช้าของเราเข้าไปสู่ห้องเรียนในชุมชนต่าง ๆ ที่เขาดูแล
เดอะโรแทเรียน : คุณบิลลี่ ผลที่ได้จากโครงการหยุดความหิวโหยนั้นมีอะไรนอกจากจัดหาอาหารให้ประชาชนบ้าง
ชอร์ : มีครับ เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน การจัดหาอาหารให้ประชาชนนั้นหยุดความหิวโหยได้มื้อหนึ่งหรือวันหนึ่ง แต่การหยุดความหิวโหยนั้นหมายถึงการจัดระบบที่มีหลักประกันว่าเด็ก ๆ จะมีอาหารที่คนต้องการรับประทานสามมื้อทุกวัน มันเป็นความแตกต่างระหว่างการใช้พลาสเตอร์ปิดแผลกับการรักษาบาดแผล
เดอะโรแทเรียน : จะให้คนอาสามาช่วยคุณได้อย่างไร
ชอร์ : พวกเขาสามารถเข้าไปดูรายละเอียดจากเว็บไซท์ nokidhungry.org และร่วมเป็นหนึ่งในเครือข่าย "ต้องไม่มีเด็กอดอยาก" สนับสนุนงานของโครงการ สร้างจิตสำนึกในประเด็นความหิวโหยให้แก่สมาชิกในชุมชนของเขา ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้
ความอดอยากในอเมริกา : มองผ่านตัวเลข
ชาวอเมริกันนับล้านครัวเรือนประสบกับความไม่มั่นคงทางอาหารในปีที่ผ่านมา นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงอาหารที่ต้องการอย่างสม่ำเสมอ กระนั้นประเทศนี้ยังมีคนเป็นจำนวนมากมีปัญหาเป็นโรคอ้วน และอาหารเป็นจำนวนมากที่มีปลายทางที่ถังขยะ เป็นไปได้อย่างไรว่าประเทศที่อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง ยังมีเด็กที่ขาดแคลนอาหาร เราได้เก็บตัวเลขเพื่อประกอบพิจารณาประเด็นปัญหานี้ ดังนี้
หนึ่งในเจ็ดครัวเรือนอเมริกันยังมีปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหาร
ในปี พ.ศ.๒๕๕๖ ร้อยละ ๑๔.๓ ของประชากรอเมริกัน หรือประมาณ ๔๙ ล้านคน นับรวมเด็ก ๑๕.๗ ล้านคน มีความลำบากในการเข้าถึงแหล่งอาหารอย่างเพียงพอ
คนอเมริกันประมาณ ๒๓.๕ ล้านคน ใช้ชีวิตอยู่ในแหล่งทะเลทรายอาหาร ครึ่งหนึ่งของคนจำนวนนี้เป็นคนยากจน ทะเลทรายอาหารคือสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ทำให้การเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าถูกจำกัด หรือไม่มีทางเข้าถึง เพราะร้านค้าหรือร้านของชำต่าง ๆ เหล่านั้นเข้าถึงลำบากหรืออยู่ไกลเกินไป
ครัวเรือนที่ถูกรายงานว่ามีสภาพความไม่มั่นคงทางอาหารจำนวนร้อยละ ๖๙ จะต้องเลือกว่าจะเอาอาหารหรือสาธารณูปโภค ๖๖ เปอร์เซนต์ของคนจำนวนนี้ต้องเลือกเอาระหว่างอาหารหรือยารักษาโรค
ในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ เด็กจากครอบครัวรายได้ต่ำ ๒๑.๕ ล้านคนได้รับแจกอาหารฟรีหรือในราคาต่ำผ่านโครงการอาหารกลางวันของรัฐบาล เด็กจำนวน ๖ ใน ๗ คนจากตัวเลขนี้ไม่ได้รับแจกอาหารในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน
มลรัฐที่มีตัวเลขความไม่มั่งคงทางอาหารสูงสุด ๕ รัฐ แต่มีอัตราเด็กโรคอ้วนสูงกว่าเฉลี่ย ได้แก่รัฐมิสซิสซิปปี้ จอร์เจีย อาร์คันซอ เท็กซัส และนอร์ธแคโรไลนา ทั้งหมดนี้ยังมีปัญหาความมั่นคงทางอาหารในขณะที่เด็กโรคอ้วนมีอัตราสูงกว่าเฉลี่ยคือ ๒๗.๑ เปอร์เซนต์
ถ้าอัตราการเป็นโรคเบาหวานยังเป็นเหมือนปัจจุบัน ภายในปี พ.ศ.๒๕๙๓ คนอเมริกัน ๑ ใน ๓ คนจะเป็นโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานในอเมริกา ๒๖ ล้านคน มีคนที่เป็น เบาหวานประเภท ๒ ถึง ๙๐-๙๕ เปอร์เซนต์ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถป้องกันการเกิดโรคนี้ได้โดยการทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายและลดน้ำหนักลง
นับตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๓ ราคาพืชผักผลไม้เพิ่มขึ้น ๔๐ เปอร์เซนต์ แต่ราคาอาหารสำเร็จรูปก็ลดลงถึง ๔๐ เปอร์เซนต์ ถ้าคน ๆ หนึ่งใช้เงิน ๓ เหรียญซื้ออาหารรับประทาน เขาจะได้พลังงาน ๓,๗๖๗ แคลอรี่จากอาหารสำเร็จรูป หรือเขาจะได้ ๓๑๒ แคลอรี่จากอาหารครบหมู่
ยี่สิบปีที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาใช้เงินงบประมาณ ๑๙.๒ พันล้านเหรียญสนับสนุนอาหารขยะที่ผลิตจากข้าวโพดและถั่วเหลือง เช่นสารให้ความหวาน น้ำมันพืช แป้งข้าวโพด แต่แอปเปิ้ลซึ่งเป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ได้รับเงินสนับสนุนจากงบประมาณรัฐบาล ได้รับเพียง ๖๘๙ ล้านเหรียญตลอดระยะเวลา ๑๘ ปีที่ผ่านมา
คนอเมริกัน ๑ ใน ๗ คนได้รับแสตมป์อาหาร โดยเฉลี่ยแล้วประชากร ๔๗ ล้านคนอยู่ในโครงการรับความช่วยเหลือโภชนาการอาหารเสริม (SNAP) ทุกเดือนในปี พ.ศ.๒๕๕๖ ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มโครงการในปี ๒๕๑๒ เฉพาะในช่วงระหว่างปี ๒๕๕๐ ถึง ๒๕๕๔ จำนวนผู้รับประโยชน์นี้เพิ่มสูงขึ้นถึง ๗๐ เปอร์เซนต์ และคิดเป็นเงินงบประมาณในปี ๒๕๕๖ ถึง ๗๖.๔ พันล้านเหรียญสหรัฐ
ร้อยละ ๕๘ ของครอบครัวที่รับความช่วยเหลือ SNAP มีรายได้จากการทำงานคนเดียว ครอบครัวยากจนที่ทำงานเลี้ยงตัวเองคือกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับความช่วยเหลือตามโครงการ SNAP ที่มีเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด
ผลประโยชน์โดยเฉลี่ยจากโครงการ SNAP คือ ๑.๔๘ เหรียญต่ออาหารหนึ่งมื้อ โดยเฉลี่ยแล้วโครงการนี้ให้ความช่วยเหลือเทียบเท่าเงิน ๑๓๓ เหรียญต่อเดือนในปี ๒๕๕๖ และโดยเฉลี่ยครอบครัวที่รับประโยชน์จาก SNAP จะใช้สิทธิ ๓ ใน ๔ ภายในกลางเดือน และใช้ ๙๐ เปอร์เซนต์ภายในสามสัปดาห์
คนอเมริกันทิ้งอาหารมากถึง ๓๕ ล้านตันในปี พ.ศ.๒๕๕๕ อาหารมากถึงร้อยละ ๔๐ ถูกทิ้งไปจนเป็นปัญหาของเสียล้นเมือง เช่น ถุงพลาสติก กระดาษ โลหะ และแก้วที่ใช้หีบห่ออาหารนั้น
ข้อมูล : The Rotarian May 2015